วิธีใช้สระโดยสรุป
วิธีใช้สระทั้งหมด เมื่อกล่าวโยสรุปแล้วมีอยู่ ๕ วิธีคือ :-
๑. คงรูป คือต้องเขียนรูปให้ปรากฏชัด เช่น :- กะบะ กะปิ ดีนี่ ไปไหน ทำไม นานโข
๒. ลดรูป คือไม่ต้องเขียนรูปสระให้ปรากฏหรือปรากฏแต่เพียงบางส่วน แต่ต้องออกเสียงให้ตรงกับรูปสระที่ลดนั้น การลดรูปมี ๒ อย่าง คือ :-
ก. ลดรูปทั้งหมด ได้แก่ พยัญชนะ + สระโอ + ตัวสะกด (ยกเว้นตัว ร ) เช่น :-
น + โอะ + ก-สะกด = นก.
ม + โอะ + ด-สะกด = มด.
ก + ออ + ร-สะกด = กร.
จ + ออ + ร-สะกด = จร.
ข. ลดรูปบางส่วน ได้แก่สระที่ลดรูปไม่หมด เหลือไว้แต่เพยงบางส่วนของรูปเป็ตพอเป็นเครื่องสังเกตให้รู้ว่าไม่ซ้ำกับรูปอื่น เช่น :-
ก + เออ + ย-สะกด = เกย (ลดรูปตัว อ เหลือแต่ไม้หน้า)
ส + เอีย + ง-สะกด = สยง (ลดไม้หน้ากับพินทุ อี เหลือแต่ตัว ย)
ก + อัว + น-สะกด = กวน (ลดหันอากาศ เหลือแต่ตัว ว)
๓. แปลงรูป คือแปลงสระรูปเดิมให้เปลี่ยนเป็นอีกรูปหนึ่งเช่น :-
ก + อะ + น-สะกด = กัน (แปลงวิสรรชนีย์เป็นหันอากาศ)
ก + เอะ + ง-สะกด = เก็ง (แปลงวิสรรชนีย์เป็นไม้ตู่คู้)
ข + แอะ + ง-สะกด = แข็ง (แปลงวิสรรชนีย์เป็นไม้ตู่คู้)
ด + เออ + น-สะกด = เดิน (แปลง อ เป็น พินทุอิ)
๔. ตัดรูป คือตัวสระ อะ ที่เป็นสระหน้าของคำที่มาจากบาลีและสันสกฤต และไม่ต้องออกเสียงสระที่ตัดนั้น (คือตัดทั้งรูปและเสียง) เช่น :-
อนุช-นุช, อดิเรก-ดิเรก, อภิปราย-ภิปราย, อภิรมย์-ภิรมย์, อเนกอนันต์-เนกนันต์
อนุช-นุช, อดิเรก-ดิเรก, อภิปราย-ภิปราย, อภิรมย์-ภิรมย์, อเนกอนันต์-เนกนันต์
๕. เติมรูป คือเพิ่มรูปเข้ามานอกเหนือจากที่มีอยู่แล้ว ได้แก่สระ อื ที่ใช้ในมาตรา ก กา เช่น :-
ม + อื = มื เติม อ เป็น มือ
ค + อื = คื เติม อ เป็น คือ
เหตุที่เติมรูปเพราะในการเขียนรูปสระ อี และสระ อื ในสมัยโบราณ ไม่มีตัวพิมพ์ใช้ ต้องใช้เขียนถ้าเขียนตัวบรรจงก็สังเกตง่าย ไม่มีปัญหา, แต่ถ้าเขียนหวัดก็ทำให้ฉงนเช่น มี กับ มื มีความหมายด้วยกันทั้งสอง ยากแก่การวินิจฉัยว่าควรจะเป็น มี หรือ มือ แต่ถ้าเติมรูป อ ลงไปที่สระ อื ก็เข้าใจได้ว่าเป็นสระ อือ , ส่วนสระ อี คงรูปไว้อย่างเดิมก็จะทำให้การอ่านง่ายขึ้น ถึงแม้จะเขียนสระ อื ตกรูป “ฝนทอง” ไปหนึ่งอันเป็น มือ ก็รู้ได้ว่าเป็นสระ อื เพราะมีตัว อ กำกับอยู่ จะออกเสียงเป็นสระ อี ไม่ได้ การเติมรูปสระจึงมีประโยชน์ดังนี้
หมายเหตุ :- ๑. สระบางตัวอาจใช้วิธีลดรูปและแปลงรูปก็ได้เช่น :-
ก+ เอาะ = เกาะ แล้วลดรูป ไม้หน้า กับ ลากข้าง และแปลงรูปวิสรรชนีย์เป็น ไม้ไต่คู้ ก็จะกลายรูปเป็น ก็
๒. สระที่ประสมกับวิสรรชนีย์บางตัว เมื่อแปลงวิสรรชนีย์เป็นไม้ไต่คู้แล้วจะกลับเป็นสระตัวเดิมที่ยังมิได้ประสมกับวิสรรชนีย์เช่น เอาะ จะกลับเป็น ออ ในเมื่อแปลงวิสรรชนีย์เป็นไม้ไต่คู้และมีตัวสะกด ตัวอย่าง ก + เอาะ = เกาะ+ก-ตัวสะกด จะเป็น ก๊อก เมื่อแปลงวิสรรชนีย์เป็นไม้ไต่คู้แล้ว สระ เอาะ ก็จะกลับเป็นสระ ออ ตัวเดิมที่ยังมิได้ประสมกับวิสรรชนีย์จึงจะมีรูปเป็น ก็อก
ที่มา : กำชัย ทองหล่อ. (๒๕๕๔). หลักภาษาไทย. (พิมพ์ครั้งที่ ๑๓). กรุงเทพฯ : รวทสาส์น
โอเคมาก
ตอบลบดีมากๆผุ้ใหญ่ต้องเรียนรุ้เพิ่มใหม่เพื่อสอนลูกๆ
ตอบลบดีมากๆผุ้ใหญ่ต้องเรียนรุ้เพิ่มใหม่เพื่อสอนลูกๆ
ตอบลบสงสัยคะ อันนี้ อ่านยังไงคะ สยง ไม่เคยเห็นเลยค่ะ ในพจนานุกรม ก็ไม่มี
ตอบลบส + เอีย + ง-สะกด = สยง (ลดไม้หน้ากับพินทุ อี เหลือแต่ตัว ย)
หรืออันนี้กำลังพูดถึงคำสมัยโบราณ
๒. สระที่ประสมกับวิสรรชนีย์บางตัว
ตอบลบเมื่อแปลงวิสรรชนีย์เป็นไม้ไต่คู้แล้วจะกลับเป็นสระตัวเดิมที่ยังมิได้ประสมกับวิสรรชนีย์เช่น เอาะ
จะกลับเป็น ออ ในเมื่อแปลงวิสรรชนีย์เป็นไม้ไต่คู้และมีตัวสะกด ตัวอย่าง ก + เอาะ = เกาะ+ก-ตัวสะกด
จะเป็น ก๊อก เมื่อแปลงวิสรรชนีย์เป็นไม้ไต่คู้แล้ว สระ เอาะ ก็จะกลับเป็นสระ ออ
ตัวเดิมที่ยังมิได้ประสมกับวิสรรชนีย์จึงจะมีรูปเป็น ก็อก
ขอสอบถามค่ะว่า ตัวเองเข้าใจถูกต้องหรือไม่ ในข้อ ๒ นี้ เรากำลังพูดถึงสระ เอาะ ใช่ไหมคะ
คำว่า ก๊อก ที่เขียนไว้ในข้อนี้ หมายถึงเสียงอ่าน ไม่ใช่หมายถึงคำศัพท์ใช่ไหมคะ
เพราะข้างบนอธิบายว่า "แปลงวิสรรชนีย์เป็นไม้ไต่คู้"
ดังนั้น ถ้าจะบอกว่า ก๊อก เป็นสระเอาะ และจะเขียนคำว่า น้ำ-ก๊อก ก็ต้องเขียนว่า น้ำก็อก
ดิฉันเข้าใจถูกไหมคะ
..
ตอบลบ